ทำไมดอกฮิกันบานะถึงน่ากลัวในญี่ปุ่น

ที่มาของ "ฮิกันบานะ"
 “ฮิกันบานะ” ที่เรารู้จักกันทั่วไปมีที่มาจากการที่ดอกฮิกันบานะมักจะบานในช่วงวันศารทวิษุวัต (秋分の日: Autumn Equinox) ในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งทั้งในช่วงวันวสันตวิษุวัต (Spring Equinox) และวันศารทวิษุวัตจะมีการฉลองวันหยุดทางศาสนาพุทธของญี่ปุ่นเป็นเวลา 7 วันที่เรียกว่า “ฮิกัน (彼岸) ” จึงเป็นที่มาของชื่อ “ฮิกันบานะ” ซึ่งหมายถึงดอกไม้ที่บานในช่วงฮิกัน (ของวันศารทวิษุวัต)
นอกจากชื่อ “ฮิกันบานะ” แล้ว ดอกฮิกันบานะยังมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งคือ “มันจูชาเงะ (曼珠沙華) ” โดยชื่อนี้มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤต โดยดอกมันจูชาเงะถือเป็นดอกไม้แห่งสวรรค์ (天上の花) ในศาสนาพุทธ ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อกำลังจะมีเรื่องน่ายินดีหรือเรื่องมงคลเกิดขึ้น ก็จะมีดอกไม้สีแดงโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง
อย่างไรก็ตาม ดอกฮิกันบานะยังมีชื่ออื่นที่น่ากลัวอยู่ เช่น “ชิบิโตะบานะ (死人花) ” ที่แปลว่า “ดอกไม้คนตาย” และ “จิโกคุบานะ (地獄花) ” ที่แปลว่า “ดอกไม้นรก” เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีชื่ออื่นเช่น คิทสึเนะบานะ (狐花: ดอกไม้จิ้งจอก) , สุเตโกะบานะ (捨て子花: ดอกไม้เด็กกำพร้า), ยูเรบานะ (幽霊花: ดอกไม้วิญญาณ) และ คามิโซริบานะ (剃刀花: ดอกใบมีดโกน) อืม ดูๆ แล้ว เหมือนชื่อที่น่ากลัวจะเยอะกว่าชื่อที่ความหมายดีอยู่เหมือนกัน
ทำไมดอกฮิกันบานะถึงเกี่ยวกับความตาย
คำตอบหนึ่งอยู่ในหัวดอกฮิกันบานะที่มีพิษ เนื่องจากดอกฮิกันบานะมีหัวซึ่งอุดมไปด้วยแป้ง ทำให้คนญี่ปุ่นสมัยก่อนนิยมขุดมาทำอาหารกินกันในช่วงขาดแคลน โดยจะนำหัวมาล้างให้สะอาดเพื่อให้พิษที่อยู่ในหัวละลายไปกับน้ำ อย่างไรก็ตาม หากล้างไม่สะอาดก็จะมีพิษหลงเหลืออยู่และทำให้เสียชีวิตได้ ถึงอย่างนั้น อาการจากการถูกพิษของฮิกันบานะก็มีทั้งแบบไม่หนักมากเช่น ท้องเสียและอาเจียน เป็นต้น แต่หากอาการหนักก็อาจถึงเส้นประสาทเป็นอัมพาตและเสียชีวิตได้
นอกจากนี้ ในอดีตคนญี่ปุ่นเคยใช้วิธีการปลูกฮิกันบานะไว้รอบๆ หลุมศพเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวตุ่นหรือสัตว์กินเนื้อต่างๆ เข้ามาทำลายหลุมศพอีกด้วย ทำให้ดอกฮิกันบานะเป็นดอกไม้ที่อยู่คู่กับหลุมศพนั่นเอง

อ้างอิง
https://th.anngle.org/j-culture/higanbana.html